
บาร์เซโลนา ขับเคลื่อนความเป็นไปของประเทศสเปนโดยเฉพาะด้านงานศิลป์ และเป็นเมืองต้นแบบของศิลปะ Modernism ก่อกำเนิดสถาปนิกและอัครศิลปิน Antoni Gaudi ผู้เป็นดั่งแม่เหล็กดึงดูดให้เหล่าสถาปนิกแห่งสหัสวรรษมาประชันผลงานกัน อาทิ Nou Camp Stadium ของ Foster + Partners และ Agbar Tower ตึกสูงเสียดฟ้าของ Jean Nouvel ที่ตั้งตระหง่านง้ำคู่โบสถ์ Sagrada Familiaไม่เป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด หากใครจะมองบาร์เซโลนาว่าเป็น“สวนอีเดนแห่งผู้รักงานสถาปัตยกรรมและศิลปะ”

รองจากปารีส บาร์เซโลนาคือเมืองในยุโรปที่นักท่องเที่ยวไปถึงมากที่สุด ทั้งบทบาทในการเป็นเมืองหลวงของแคว้นคาตาลันญ่า (Catalonia) ด้วยความที่บาร์เซโลนาเป็นเมืองทรงเสน่ห์ในทุกแง่มุม ทำให้ผู้มาเยือนหลายคนค้นพบพื้นที่ชีวิตของตนเองหรือแทบจะตกหลุมรักในบัดดล อันเป็นเหตุที่ว่า ประชากร 7 ล้านคนในเมืองนี้มีชาวต่างชาติที่อพยพมาอาศัยอยู่มากกว่า 260,000 คน มีสิ่งใดที่คุณนึกถึงบาร์เซโลน่าได้บ้าง ศิลปะที่ยากจะหาคำบรรยายของเกาดี้ งานดีไซน์ที่แฝงอยู่ทุกมุมถนน รวมถึงความอบอุ่นแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ชวนเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ยังไม่นับถึงอาหารท้องถิ่นที่เปิดให้ลิ้มรสตั้งแต่ในตลาดสดจนถึงร้านติดดาว
“Hola” คนขับแท็กซี่สีเหลืองดำเปล่งทักทายในแบบสแปนิช ก่อนจะพาเราเข้าสู่ตัวเมืองบาร์เซโลน่า อากาศในช่วงต้นฤดูหนาวเย็นสบายใบเมเปิ้ลสีทองแห้งหล่นตามถนนให้เห็นประปราย หลังจากเพ่งที่อยู่ของ Hotel Denit สารถีหนุ่มก็บอกเราเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงแปร่งว่า พวกคุณพักในย่านที่ดีจริงๆ เพราะอยู่ใกล้กับ La Ramblas ย่านที่คึกคักที่สุดของเมือง แล้วก็เดินถึงจัตุรัสพลาซ่า คาตาลันญ่า (Plaça de Catalunya) จุดศูนย์รวมถนนสายหลักสำคัญอันเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมชิ้นมาสเตอร์พีซของเกาดี้

เกาดี้มองหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือศิลปะยุคโกธิค (ปลายศตวรรษที่ 17) โครงสร้างแบบตะวันออกการเคลื่อนไหวของอาร์ตนูโวและแน่นอนที่สุดความสุขในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติซึ่งมีอิทธิพลต่อการออกแบบของเขาเป็นอย่างมาก เกาดี้เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1852 ณ หมู่บ้านทาราโกนา (Taragona) ห่างออกไปทางใต้ของบาร์เซโลน่าราว 100 กิโลเมตร เขาเข้ามาศึกษาด้านสถาปัตยกรรมที่ Escola Tècnica Superior d’Arquitectura ในบาร์เซโลนา ตั้งแต่ ค.ศ. 1873 – 1877 ซึ่งในยุคนั้นที่นี่ถือเป็นสถานศึกษาด้านสถาปัตยกรรมแห่งเดียวในสเปน ด้านชีวิตส่วนตัวของเขานอกจากงานศิลปะที่รัก เขายังลุ่มหลงในดนตรีรวมถึงงานเขียนของ จอห์น รัสกิน (JohnRuskin นักเขียนและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19)ผู้เคยกล่าวไว้ว่า “Ornament is the Origin of Architecture” อลงกรณ์คือรากฐานของสถาปัตยกรรม ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนส่งผลต่อการสร้างงานศิลปะในแบบเกาดี้ทั้งสิ้น
การเดินทางในบาร์เซโลน่าสะดวกสบายด้วยเมโทรหรือรถไฟใต้ดินทุกคนจึงสามารถไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ได้แบบไม่ต้องง้อแท็กซี่เพราะเมื่อมาเยือนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ นักท่องเที่ยวเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ต้องทำใจให้ได้ว่าอยู่ ๆ พวกพี่เขาจะนึกอยากหยุดประท้วงแรงงานกันขึ้นมาก็ทำได้ แต่ที่ทำเอาเรางงหนักก็เมื่อได้เห็นกลุ่มคนยืนรอคิวกันยาวเหยียดประหนึ่งม็อบสงบ สอบถามได้ความว่า กำลังต่อคิวเพื่อขอทะเบียนรถใหม่ ให้อดขำปนเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจของบ้านเขาคงเหมือนบ้านเราที่ว่าแย่แค่ไหนแต่ก็ยังมีเศรษฐีออกรถใหม่กันคึกคัก

ทัวร์ชมผลงานเกาดี้แบบ Gaudi Plus Tour (Bcnshop.barcelonaturisme.com) มีการจัดพาชมโบสถ์ Church of Colònia Güell ในนิคม Colonia Güell Crypt ที่เกาดี้ได้สร้างไว้ โดยห่างออกจากเมืองไปราว 14 กิโลเมตร เริ่มจากตอนเช้าพาชมบ้านสีสันสดใส Casa Batlló ที่ Paseo de Gracia ถนนสุดหรูในย่าน L’Eixample หนึ่งในย่านพิเศษสุดของบาร์เซโลน่า ซึ่งในอดีตเป็นย่านของมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มักประชันความงดงามคฤหาสน์ของตนอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นคือเจ้าของโรงงานสิ่งทอ Don Josep Batlló ซึ่งเกาดี้ได้เนรมิตความมหัศจรรย์มอบรูปโฉมใหม่ในปี 1903 เพิ่มชั้นจากของเดิมอีก 2 ชั้นและเพิ่มส่วนชั้นดาดฟ้าไว้เป็นเทอเรซชมวิว โดดเด่นด้วยการนำเอาสถาปัตยกรรม สีสัน แสงธรรมชาติ และดีไซน์มารวมเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ส่วน ส่วนหน้าอาคาร ทรงหลังคาเปรียบดั่งหลังมังกร กระเบื้องเป็นเกล็ดของมังกร มีดาบของเซนต์จอร์จ นักบุญผู้พิทักษ์เมืองบาร์เซโลน่าประดับติดอยู่ระเบียงคล้ายเปลือกหอยหรือกระดูก จนได้รับฉายาว่า Casa dels ossos (House of Bones)

ภายในตกแต่งโทนสีฟ้าด้วยคอนเซ็ปต์เมืองบาดาล ประตูหน้าต่างเว้าโค้ง โดยเฉพาะส่วนห้องรับแขกที่ประตูสามารถพับเก็บเพื่อขยายพื้นที่ยามจัดงานเลี้ยง การตกแต่งทั้งหมดไม่มีอะไรราบเรียบซึ่งเป็นไปตามหลักธรรมชาติว่า ไม่มีอะไรเรียบแบนหรือเป็นเส้นตรง และ Casa Batlló ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานทางเชิงพาณิชย์ชิ้นสุดท้ายก่อนที่เขาจะหันไปอุทิศชีวิตให้กับ Sagrada Familia กระทั่งปี ค.ศ. 1994 Casa Batlló ได้ตกเป็นของครอบครัว Bernat เจ้าของลูกอมยี่ห้อดัง Chupa Chups และเพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองในวันที่เกาดี้มีอายุครบ 150 ปี หากเขายังมีชีวิตอยู่ Casa Batlló จึงเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมในปี 2002 แม้เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านที่สร้างโดยน้ำพักน้ำแรงของเกาดี้จะถูกแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่โครงสร้างทุกอย่างยังงดงามแจ่มชัด

จาก Casa Batlló รถทัวร์มุ่งหน้าสู่ Les Corts de Sarrià quarter เพื่อพาชมทางเข้าและรั้วกำแพงรูปมังกรของ Miralles Estate ซึ่งเกาดี้ได้สร้างไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1901 – 1902 โดยเป็นย่านอาศัยของสหายนามว่า Hermenegild Miralles Anglès จากนั้นแวะชมความเป็นเจ้าไอเดียแห่งการรีไซเคิลของเกาดี้ได้ที่ Güell Pavilions กลุ่มอาคารขนาดใหญ่ในแถบชานเมือง Pedralbes ซึ่งเคยเป็นของท่านเคานต์ Eusebi Güell ไกด์รุ่นคุณป้านามว่า Somnia Bisbe จาก Barcelona Guide Bureau ค่อยๆ เผยถึงความสำคัญของบุคคลท่านนี้ให้เราฟังอย่างละเอียด ใน ค.ศ. 1911 King Alfonso XIII ได้ยกฐานะให้ Eusebi Güell เป็นท่านเคานต์เมื่อเขาได้บริจาคที่ดิน รวมถึงบ้านพักฤดูร้อนของตนให้กับราชวงศ์สเปนนำไปใช้เป็นพระราชวัง
ดังนั้นการมี Eusebi Güell เป็นผู้อุปถัมภ์จึงทำให้เกาดี้ได้มีเวทีแจ้งเกิด เนื่องจากสมัยก่อนสถาปนิกระดับล่างจะได้รับทำงานให้กับชนชั้นสูงนั้นมีความเป็นไปได้ยาก โดย Eusebi Güell เกิดความประทับใจในเฟอร์นิเจอร์ที่เขาซื้อจึงได้สอบถามกับคนขาย ทำให้เขาได้รู้ว่าผู้ออกแบบนั้นเป็นถึงสถาปนิกมีนามว่า แอนโตนิ เกาดี้ ตั้งแต่นั้นมาเกาดี้ก็ได้รับความไว้วางใจและสร้างให้ตึกของ Eusebi Güell แตกต่างจากใครในเมืองนี้โดยเริ่มจากประตูทางเข้าของ Güell Pavilions ซึ่งปัจจุบันตกเป็นของ University of Barcelona (Universitat Politècnica de Catalunya) ซึ่งที่นี่เองที่เกาดี้ได้คิดไอเดียในการสร้างปล่องไฟโดยใช้เทคนิคการตกแต่งด้วยเศษกระเบื้องประดับต่างๆ เป็นครั้งแรก หลายคนคงคุ้นกับภาพปล่องไฟของ Casa Milà ที่ถนน Paseo De Gracia เป็นอย่างดี โดยเทคนิคการตกแต่งปล่องไฟแบบนี้เรียกว่า Trencadís ตามภาษาคาตาลันแปลว่า Broken นอกจากนี้ประตูเหล็กของ Güell Pavilions ก็ยังโดดเด่นด้วยการนำวัสดุเก่ามาประดิษฐ์เป็นตัวมังกร อาทิ ส่วนปีกจากตะแกรง มีตาเป็นลูกแก้ว โดยมังกรนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานมังกรผู้พิทักษ์ของ Hesperides ผู้พ่ายแพ้ต่อเฮอร์คิวลิส

เพียง 15 นาทีเราก็เดินทางถึง Colonia Güell Crypt อดีตนิคมอุตสาหกรรมโรงงานสิ่งทอที่ Eusebi Güell เป็นเจ้าของ ความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมสิ่งทอในบาร์เซโลน่ารุ่งเรืองถึงขีดสุดในปลายศตวรรษที่ 19 จนทำให้ได้รับฉายาว่า เป็น Manchester ที่ 2 โดยนำเข้าฝ้ายจากรัฐอะลาบามาและอียิปต์ แต่สุดท้ายโรงงานก็ต้องปิดตัวลงเมื่อปี 1973ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจยุโรปย่ำแย่ ปัจจุบันโรงงานกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้เรื่องการทำสิ่งทอในอดีต ด้านบนอุทิศให้กับประวัติของเกาดี้และการอธิบายสัญลักษณ์ทางคริสตศาสนาต่างๆ ที่ประดับโบสถ์ Church of Colònia Güell ทางเดินwxสู่โบสถ์อยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นลักษณะเนินสูงอยู่เล็กน้อย ผู้ร่วมทัวร์วัยคุณปู่คุณย่าของเราจึงค่อยๆ เดินกันไป อันเป็นข้อดีที่ทำให้เรามีเวลาพิจารณาโบสถ์ขนาดกระท่อมหลังน้อยของเกาดี้ได้มากขึ้น เนื่องจากรายละเอียดมีมากมาย ว่ากันว่า โบสถ์แห่งนี้ล่ะคือโปรเจ็คทดลองก่อนที่เกาดี้จะสร้าง Sagrada Familia อันยิ่งใหญ่
ดังนั้นขนาดของโบสถ์จึงเทียบเท่ากับเศษส่วนเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ Sagrada Familia จุคนได้ 13,000 คน แต่ Church of Colònia Güell จุคนได้ราวไม่เกิน 200 คน ตัวโครงสร้างด้านนอกก่อสร้างจากหิน อิฐและซีเมนต์วับแวมด้วยการปะติดเศษกระเบื้องแบบ Trencadís เสาลักษณะคล้ายต้นปาล์มก่อด้วยอิฐบล็อกและซีเมนต์ หน้าต่างด้านนอกลักษณะคล้ายดวงตา รายละเอียดสัญลักษณ์ต่าง ๆ ยังคงชัดเจนแม้ว่าจะสร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1908 ด้านในโบสถ์เงียบสงบ มีชาวคาทอลิกมานั่งสวดมนต์บ้างประปราย ในขณะที่จิตรกรชาวญี่ปุ่นกำลังใช้ดินสอร่างโครงสร้างภายในโบสถ์อย่างมีสมาธิ ที่นี่มักมีการจัดคอนเสิร์ตบ่อย ๆ เนื่องจากหลังคาต่ำทำให้การสะท้อนเสียงชัดเจนโดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน หน้าต่างดีไซน์เป็นรูปผีเสื้อแต่เมื่อเปิดปีกออกไปแล้วจะเหลือโครงเป็นรูปไม้กางเขน เราได้แต่ยืนชื่นชมว่าเป็นงานประดิษฐ์ที่งดงามและแฝงความเป็นนักคิดอย่างแท้จริง

ความรู้สึกที่ชาวบาร์เซโลน่ามีต่อเกาดี้นั้นเป็นเรื่องที่เราเองก็ยังคงสงสัยอยู่เช่นกัน จนได้รับคำตอบจาก Ms. Clementina Milà ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Hotel Omm โรงแรมใจกลางเมืองที่ได้รับความนิยมจากเหล่าศิลปินและนักธุรกิจของบาร์เซโลน่า เราค้นพบโดยบังเอิญว่า เธอเป็นทายาทห่าง ๆ ของคฤหาสน์หลังงาม Casa Milà ซึ่งบนชั้นเทอเรซของโรงแรมออมสามารถมองเห็นบรรดาปล่องไฟอันเป็นสัญลักษณ์ของ Casa Milà ได้อย่างแจ่มชัด ในระหว่างที่เรากำลังนั่งสนทนากับเธอถึงความรู้สึกของชาวคาตาลันที่มีต่อเกาดี้ เธอได้เล่าถึงสมัยเด็กๆ ว่า ตอนที่พ่อของเธอได้พาไป Casa Milà ครั้งแรกนั้น เธอเองกลับรู้สึกไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่า บ้านหลังนี้ใหญ่เกินไปและสีสันทุกอย่างก็ดูเกินจริง ในขณะที่บ้านหลังอื่นๆ มีขนาดเล็ก เรียกได้ว่าใหญ่โตกว่าคนอื่นหลายเท่า จนชาวบ้านพากันเรียกที่นี่ว่า La Pedrera ซึ่งคือชื่อเหมืองหินในแถบบาร์เซโลน่าที่เกาดี้ไปนำหินจากเหมืองนี้มาสร้างบ้านนั่นเอง โดย Casa Milà มีลักษณะเหมือนกับถ้ำของชาวแอฟริกัน แต่เมื่อกาลเวลาพ้นผ่าน ปัจจุบันบาร์เซโลน่ากลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมด้วยมีเกาดี้เป็นจุดสนใจ นำพามาซึ่งความมั่งคั่งของแคว้นคาตาลันญ่า ดังนั้นแล้วชาวคาตาลันในยุคปัจจุบันจึงมีแต่ความชื่นชมและรู้สึกขอบคุณ เพราะแม้ปัจจุบันเศรษฐกิจสเปนจะตกต่ำอย่างไร แต่เรื่องการท่องเที่ยวแล้วไม่ได้ผลมีกระทบต่อบาร์เซโลน่าเลยสักนิด

จะมีสถาปัตยกรรมใดที่ยิ่งใหญ่เหมาะสมกับท้องฟ้าอันสดใสของบาร์เซโลน่า หากมิใช่มหาวิหารซากราดา ฟามิลิยา (Sagrada Familia)ตั้งอยู่บนถนน Carrer de Mallorca ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1883สิ่งก่อสร้างที่เกาดี้อุทิศตนให้เนิ่นนาน 43 ปีจนลมหายใจสุดท้าย ซึ่งในขณะที่เขามีชีวิตอยู่นั้นเขาสร้างได้เพียง 15 – 25% ของโบสถ์ในปัจจุบันที่เห็น ความเป็นอัจฉะริยะของเกาดี้ถ่ายทอดด้วยการร่างแบบเอาไว้ล่วงหน้า เพราะเขาคิดแล้วว่าโบสถ์นี้จะไม่มีวันสำเร็จในคนรุ่นเขาเป็นแน่ โดยคุณสามารถชมการออกแบบได้ที่ห้องใต้ดิน ลักษณะโบสถ์ยิ่งใหญ่อลังการยาว 95 เมตร และกว้าง 60 เมตรและสูงถึง 170 เมตร ผู้คนหลั่งไหลเดินเข้าโบสถ์ราวกับมีมหกรรมเซลครั้งใหญ่ เพื่อประหยัดเวลาแนะนำให้จองตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ตล่วงหน้า เมื่อก้าวเข้าไปแล้วรับรู้ถึงความรู้สึกเย็นใจยิ่งนัก ภายในโบสถ์ส่องสว่างราวกับลำแสงนำชีวิต ชาวคริสต์ที่ดีกำลังนั่งร่ายบทสวดต่อหน้าแท่นพิธีอย่างตั้งใจ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพแบบไม่ยั้ง
ผู้ก่อตั้งริเริ่มมหาวิหารแห่งนี้คือ พ่อค้าหนังสือนามว่า Josep Maria Bocabella i Verdaguer ส่วนสถาปนิกที่รับงานมาตอนแรกตั้งใจให้โบสถ์เป็นสไตล์โกธิค แต่เมื่อเกาดี้ได้เข้ามาสานงานต่อ คอนเซ็ปต์การตกแต่งทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปในแบบ Modernism ภายนอกมหาวิหารวิจิตรอลังการด้วยโมเสคของเวเนเชี่ยน มีรูปปั้นแกะสลักเสลาโดยการรวมพลของศิลปินชาวสเปน ภายในตราตรึงสัมผัสราวกับวิมานของเหล่าเทพธิดา ถือเป็นบุญวาสนาของมนุษย์บนดินอย่างเราได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือน ตรงหลังแท่นพิธีมีห้องใต้ดินที่ว่ากันว่าเป็นที่สถิตของเกาดี้ชั่วนิรันดร์ เราเห็นแสงเทียนสีแดงจุดประกายเพื่อถวายความศรัทธาแด่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกตื้นตันใจเกิดขึ้นเมื่อจินตนาการว่า ดวงวิญญาณของเกาดี้อาจจะยังไม่ไปไหน เพื่ออยู่รอดูวันที่มหาวิหารแห่งนี้สร้างสำเร็จก็เป็นได้ ซึ่งหลังจากที่เกาดี้เสียชีวิตลงในวัย 73 ปี จากอุบัติเหตุรถรางชน ต่อมาได้เกิดปัญหาสงครามศาสนาจึงหยุดชะงักการสร้างไป จนปี ค.ศ. 1952 การก่อสร้างโบสถ์ก็กลับมาดำเนินต่อ นำพามาซึ่งนักเดินทางที่สละค่าผ่านประตูเพื่อนำไปเป็นรายได้ในการสานต่อความฝันของเกาดี้ หากมหาวิหารนี้สร้างเสร็จจะมีหอคอยทั้งหมด 18 หอคอย ซึ่งปัจจุบันสร้างเสร็จไปแค่ 8 หอคอย โดยบรรดาศิลปินผู้ร่วมสืบสานสร้างมหาวิหารวาดหวังว่าน่าจะแล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. 2026-2028 เพื่อเป็นการรำลึกถึงการจากไปของเกาดี้ครบ 1 ศตวรรษ เราเดินไปส่วนด้านหลังโบสถ์ยังพบส่วนประกอบต่างๆ ที่รอคอยการประกอบ เห็นแล้วก็อดเอาใจช่วยไม่ได้ นับถอยหลังกันยาวๆ อีกแค่ 14 ปีเท่านั้น ที่ฉายา “โบสถ์ที่ไม่มีวันสร้างเสร็จ” จะถูกลบเลือนไป

ความเป็นนักเดินทางและมีสไตล์เป็นของตนเองทำให้การแต่งตัวของชาวคาตาลันแตกต่างจากสเปนส่วนอื่นๆ ในแมดริดผู้คนดูหล่อสวยแบบคลาสสิก แต่สำหรับชาวบาร์เซโลน่าพวกเขาแต่งกายอย่างมีชั้นเชิงและดูดี หนุ่มสาวนักช้อปทั้งหลายแวะเช็คแฟชั่นเทรนด์ล่าสุดของชาวบาร์เซโลน่ากันได้ที่ย่าน Born หรือถ้าชอบอารมณ์เมืองแบบย้อนยุคชวนคุณหลงไปในแถบ Barri Gòtic ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคโรมัน มีโบสถ์หินสวยสง่านาม La Seu Cathedral ให้เข้าไปชื่นชมแบบไม่ต้องต่อคิวยาวเหยียดรวมถึง Carrer del Bisbe Irurita (Street of the bishop) ทางเดินเชื่อมตึกของบิชอปสมัยปลายศตวรรษที่ 12 – 13 ซึ่งสลักเสลาช่องหน้าต่างทางเดินได้วิจิตรบรรจงในแบบศิลปะโกธิค ซึ่งความงดงามดังกล่าวนี้ยังคงเป็นเหมือนครั้นอดีตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ระหว่างวันมีวณิพกเล่นเครื่องดนตรีคอยขับกล่อม ยินยลบทเพลง Romance ผ่านเส้นสายกีตาร์คลาสสิกที่ลอยลมมาจากมุมใดมุมหนึ่ง เราต่างปล่อยใจไปกับเสียงเพลงอันแสนโรแมนติกพร้อมสองเท้าก้าวไปตามถนนหินที่ผ่านคืนวานมาเนิ่นนาน


1/4

เช้าสายบ่ายเย็นความสนุกรอคุณอยู่ที่ La Rambras ผู้คนขวักไขว่ราวกับมีปาร์ตี้บันเทิงใจ แวะอิ่มหนำที่ Mercat De Boqueria ตลาดขายอาหารและสินค้าพื้นเมือง ทั้งของสด ผักผลไม้ เครื่องเทศสีสันจัดจ้าน อิ่มอร่อยด้วยอาหารคำเล็กๆ แบบพินโช (Pintxo) ที่ปรุงสดเสียบไม้ไว้รอท่า จนถึงนั่งแช่กันในร้านอาหารซีฟู้ดแผงลอยราคาเป็นมิตรแต่ได้อรรถรสของความเป็นท้องถิ่นที่สุด จากตลาดเดินมุ่งไปทางใต้สู่ Port de Barcelona ที่ยามเย็นชาวบาร์เซโลน่าและนักท่องโลกทั้งหลายมักมานั่งพักผ่อนผ่อนชมแสงสุดท้ายของวัน รูปปั้นโคลัมบัสยืนสง่านิ้วชี้ไปยังอเมริกาดินแดนแห่งเสรีภาพ เหล่านกนางนวลบินโฉบไปมาสร้างความหรรษาเล็กๆ น้อยๆ แผงขายวาฟเฟิลส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ลมเย็นอ่อนโยนชวนให้คู่รักหลายคู่เดินจูงมือเคล้าเคลีย จาก Port de Barcelona เดินมาไม่ไกล เราจับจองที่นั่งใน Flamenco Tablao Corobés (Tablaocordobes.com) ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์แบบสแปนิชครบรสพร้อมชมโชว์ระบำฟลาเมนโกตบท้าย ด้วยจังหวะลีลาอันแสนเร้าใจของนักเต้นช่วยสร้างความบันเทิงยามราตรีอันทรงคุณค่า แต่ถ้าหากคุณคาดหวังว่า จะได้ชิมทาปาสรสเยี่ยม แนะนำให้สอบถามพูดคุยกับคอนเซียจของโรงแรมหรือพนักงานตามร้านอาหาร ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจและพร้อมที่จะแชร์ข้อมูลรับรองว่า คุณจะได้ร้านเด็ดประจำถิ่นมาได้มากกว่าหนึ่งร้าน อาทิ Comerç, 24 (comerc24.com) โดยเชฟ Carles Abellan ผู้ประจำการจาก W Barcelona มาเปิดร้านเป็นของตนเอง แต่หากงบมีจำกัดแนะนำ Grill Room (8 Carrer dels Escudellers) ร้านเล็กๆ ในแถบย่านเก่า Barri Gòtic

ห่างจากบาร์เซโลน่ามาราว 40 นาทีทางรถยนต์เดินทางสู่ La Roca Village (www.larocavillage.com) แหล่งรวมเอาท์เล็ทสิ้นค้าแฟชั่นแบรนด์เนมระดับโลกและท้องถิ่นกว่า 100 ช็อปที่มอบส่วนลดมากกว่า40 – 50 % ร้านค้าจัดเป็นช็อปเล็กๆ ด้านบนเลียนแบบบ้านของชาวคาตาลันที่ประดับด้วยระเบียงกระถางต้นไม้ และธงคาตาลัน แบรนด์น่าสนใจอาทิ ช็อปของทีมฟุตบอลบาร์ซา รองเท้า Camper เสื้อผ้าผู้หญิงของ Custoที่มีลูกค้าประจำคือจูเลีย โรเบิร์ต Bimba & Lola งานดีไซน์ของชาวคาตาลันที่เรียกลูกค้าเต็มตลอด Munich ร้านรองเท้าแฟชั่นยอดนิยมของหนุ่มสเปน Tous จำหน่ายเครื่องประดับหรูตั้งแต่นาฬิกาจนถึงเครื่องเพชร มาเดินที่นี่จึงเหมือนคุณได้ออกสำรวจหมู่บ้านสินค้า มีมุมสนามเล่น ร้านอาหารและร้านกาแฟให้นั่งพักหย่อนใจ แนะนำให้ชิมแฮมคุณภาพหมัก 3 ปีที่ชาวสเปนเรียกว่า Jamón จากร้าน Andreu หรือชิมสเต็กชั้นดีที่ร้าน Pasarela การดื่มด่ำอาหารในแต่ละมื้อทำให้เห็นว่า ชาวสเปนรักช่วงเวลานี้แค่ไหนพวกเขานั่งแช่กันอยู่นานและพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ ไม่มีคนไหนมานั่งกินคนเดียวเหมือนที่ชาวลอนดอนทำกัน และถ้าจะให้ครบสูตรแบบสแปนิชแท้ล่ะก็ต้องปิดท้ายมื้อด้วย Cortado หรือเอสเปรสโซ่รสเข้มข้น กระดกแก้วเดียวเป็นอันตื่น!

นอกจากสถาปัตยกรรมเก่าใหม่ที่ยังเคียงคู่บาร์เซโลน่าแล้ว การได้พูดคุยกับชาวคาตาลัน(ชนชาติที่พูดภาษาโรมานซ์ ที่ได้แทรกอยู่ในที่ต่าง ๆ ในยุโรปรวมทั้งสเปน) ก็เป็นอีกสิ่งที่ชวนให้เพลิดเพลิน เพราะทุกคำถามที่นักท่องเที่ยวอยากรู้มักมีคำตอบกลับมาให้เสมอ จนจับความรู้สึกได้ว่าชาวคาตาลันภูมิใจในวัฒนธรรมและอาหารของบ้านตัวเอง พิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่คือสถานบันเทิงชั้นดีที่ได้รับการเยี่ยมเยือนอยู่ตลอดเวลา ถ้าถามว่า ชาวคาตาลันรักศิลปะมากแค่ไหน ขอให้ได้ลองไปชมโชว์ที่โรงอุปรากร Palau Música Catalana เพียงเท่านี้คุณก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่า ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตกันอย่างสนุกสนาน แม้ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ออกข่าวโครมๆ จะทำให้ชาวคาตาลันหลายคนว่างงาน แต่พวกเขายังคงมองโลกในแง่ดี ไม่มานั่งจับเจ่าเฉาชีวิต เราได้ยินมาว่า สถาปนิกบางคนปรับตัวเองไปเป็นไกด์ได้อย่างไม่รีรอโอกาสบ่อยครั้งที่วลีอมตะของอาโนลด์ ทอยน์บี (Arnold Toynbee) นักเขียนชาวอังกฤษมักกังวานอยู่ในหัว “See Angkor Wat and Die” เราคงจะเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อแม้หากไม่ได้มาเยือนบาร์เซโลน่าเสียก่อน เพราะเมื่อได้มาเยือนสวนอีเดนแห่งนี้แล้วก็ค้นพบว่า ชีวิตเป็นเรื่องแสนสนุก ฉะนั้นอย่าเพิ่งรีบหมดลมหายใจจนกว่าคุณจะได้มาเห็นบาร์เซโลน่าSee Barcelona and Live your Life!